เมนู

เป็นต้น. บทว่า วณฺณรูเปน สมฺปนฺนา ความว่า สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณ
สัณฐานและสมบูรณ์ด้วยรูป คือมีผิวพรรณน่ารัก ประกอบด้วยสมบัติคือ
ฉวีวรรณที่สะอาดเปล่งปลั่ง และสมบัติของส่วนร่างกายมีพัตราภรณ์เป็นต้น.
บทว่า ธีตา เมฆิสฺส อตฺรชา ความว่าเป็นธิดาตัวเองของเศรษฐีชื่อเมฆี.
บทว่า ปตฺถิตา ราชปุตฺเตหิ ความว่า พระราชกุมารทั้งหลาย
ปรารถนาว่า พวกเราจะพึงได้ธิดานั้นอย่างไรหนอ. บทว่า เสฏฺฐิปุตฺเตหิ
คิชฺฌิตา
ได้แก่ แม้เศรษฐีกุมารทั้งหลาย ก็ต้องการคือมุ่งหวังอย่างนั้น.
บทว่า เทถ มยฺหํ อโนปมํ ความว่า พระราชบุตรเป็นต้น ได้ส่งทูตมา
ขอในสำนักบิดาว่า ขอท่านทั้งหลาย จงให้อโนปมาธิดาแก่เรา ๆ เถิด. บทว่า
ยตฺต ํ ตุลิตา เอสา ประกอบความว่า อิสรชนมีกุมารเป็นต้นส่งทูตมาหา
บิดาของข้าพเจ้าแจ้งว่า อโนปมาธิดาของท่าน ท่านตีราคา คือผู้รู้ลักษณะ
กำหนดคำว่า มีคุณค่าเป็นทรัพย์เท่าใด เราจักเพิ่มเป็น 8 เท่าจากทรัพย์นั้น.
คำที่เหลือ มีนัยอันกล่าวมาแล้วในหนหลังแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาอโนปมาเถรีคาถา

6. มหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา


[456] พระมหาปชาบดีโคตมี กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล่วกล้า สูงสุดกว่าสัตว์ทั้ง
ปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงช่วยปลด
เปลื้องหม่อมฉัน และชนอื่นเป็นอันมากให้พ้นจาก
ทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณหา

อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญมรรค
อันประกอบด้วยองค์ 8 ได้บรรลุนิโรธแล้ว.
ชนทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตรธิดา เป็นพี่เป็น
น้อง เป็นปู่ย่าตายายกันมาในชาติก่อน ๆ หม่อนฉัน
ไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่พบที่พึ่งจึงท่องเที่ยวไป.
ก็หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้นแล้ว อัตภาพนี้เป็นอัตภาพสุดท้าย ชาติสงสารสิ้น
แล้วบัดนี้ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร
พระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว
มีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียง
กัน การทำโลกุตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้
เป็นการถวายบังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระนางเจ้ามหามายาเทวี ได้ประสูติพระโคดม
มาเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ เพราะ
พระองค์ได้ทรงบรรเทากองทุกข์ของชนทั้งหลาย ที่
ถูกพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว.

จบมหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา

6. อรรถกถามหาปชาบดีโคตมีเถรีคาถา


คาถาว่า พุทฺธวีร นโม ตยตฺถุ ดังนี้เป็นต้น เป็นคาถาของ
พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี.
พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ก็
บังเกิดในเรือนผู้มีสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว กำลังฟังธรรมในสำนัก
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอต-
ทัคคะเป็นเลิศของภิกษุณีผู้รัตตัญญู ทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้วปรารถนา
ตำแหน่งนั้น ทำบุญมีทานเป็นต้นจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและ
มนุษย์ตลอดแสนกัป ได้บังเกิดเป็นหัวหน้าทาสี 500 ในกรุงพาราณสี ใน
โลกซึ่งว่างพระพุทธเจ้าในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ครั้งนั้น นางได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
5 องค์ ในวันเข้าพรรษา ลงจากเงื้อมเขานันทมูลกะมาที่อิสิปตนะแล้วเที่ยว
บิณฑบาตในเมือง ก็กลับไปอิสิปตนะอีก แสวงหาหัตถกรรมเพื่อสร้างกุฏิในวัน
เข้าพรรษา ได้ชักชวนหญิงรับใช้เหล่านั้นและสามีของตนๆ ให้ช่วยกันสร้าง
กุฏิ 5 หลัง พร้อมด้วยบริวารมีที่จงกรมเป็นต้น ตั้งเตียงตั่งน้ำฉันน้ำใช้และ
ภาชนะเป็นต้นไว้เสร็จ นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่ออยู่จำพรรษาตลอด
ไตรมาสในที่นั้นนั่นเอง จึงตั้งภิกษาไว้ถวายตามวาระกัน หญิงคนใดไม่สามารถ
จะถวายภิกษาในวันที่ถึงวาระของตนได้ นางก็นำเอาภิกษาจากเรือนของตน
ไปถวายแทน นางปฏิบัติอยู่อย่างนี้ตลอดไตรมาส เมื่อถึงวันปวารณาให้นาง
ทาสีแต่ละคนสละผ้าสาฏกคนละผืน รวมเป็นผ้าสาฎกเนื้อหยาบ 500 ผืน ให้
จัดผ้าเหล่านั้นทำเป็นไตรจีวรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 5 องค์ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ ได้เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ต่อหน้าหญิงเหล่านั้นแล.